ยางรถยนต์เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้รถขับเคลื่อนไปบนถนนได้ ฉะนั้นการตรวจเช็คสภาพการใช้งานให้พร้อมของยางรถยนต์นั้น จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นมากๆ ยิ่งในช่วงฤดูฝนหรือช่วงที่จำเป็นต้องขับบนสภาพถนนที่ไม่อำนวย เรายิ่งต้องหมั่นตรวจเช็คสภาพของยางรถยนต์ให้ดีและพร้อมใช้งานมากที่สุด เพิ่มมความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน ลดอุบัติเหตุ
ยางหมดอายุ ดูยังไง?
ยางรถยนต์ใหม่โดยสภาพทั่วไปจะมีอายุการใช้งานประมาณ 4-5 ปี หรือใช้ระยะทางในการวิ่งประมาณ 50,000-80,000 กิโลเมตรขึ้นไป ในกรณีที่ยางรถยนต์มีระยะทางการวิ่งน้อยก็จะทำให้เกิดการสึกหรอน้อยลงด้วย ส่งผลให้อายุการใช้งานของยางรถยนต์ยืดออกไปอีกหลายปีเลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตามวิธีสังเกตว่ายางรถยนต์ของคุณหมดอายุหรือยัง สามารถดูได้จากตัวเลขบนขอบยางได้ง่ายๆ และนอกจากนี้ยังสามารถสังเกตยางรถยนต์จากร่องรอยและประสิทธิภาพในการใช้งานได้ ดังนี้
1. สังเกตบริเวณไหล่ยางหรือแก้มยางว่ามีร่องรอยแตกหรือไม่ หากพบว่ามีแนะนำให้เปลี่ยนยางรถยนต์ทันที เพราะมีความเสี่ยงที่ยางรถยนต์จะเกิดการระเบิดได้
2. สังเกตดอกยาง โดยจะต้องมีความลึกอยู่ที่ 6-8 มิลลิเมตร ยิ่งมีการใช้งานยางรถยนต์มากยิ่งทำให้ร่องยางตื้นขึ้น ประสิทธิภาพในการรีดน้ำจะลดลง มีความเสี่ยงที่รถจะลื่นไถลเสียหลักเมื่อมีการเบรก ดังนั้นเมื่อพบว่าดอกยางมีความลึกที่ต่ำกว่า 2 มิลลิเมตร ควรทำการเปลี่ยนยางรถยนต์ใหม่ในทันที
3. เนื้อยางมีความแข็งผิดปกติ เกิดจากการเสื่อมสภาพของยางรถยนต์ สังเกตจากในขณะที่เข้าโค้งหรือเหยียบเบรก จะมีเสียงดังขึ้น เป็นอีกสัญญาณบอกว่าคุณควรเปลี่ยนยางรถยนต์ใหม่
4. ยางรถยนต์มีลักษณะผิดรูปเช่น บวม ดอกยางสึกไม่เท่ากัน แก้มยางมีรอยนูน เนื้อยางมีเส้นลวดโผล่ และอื่นๆ ควรรีบเปลี่ยนยางทันที
5. เกิดอาการผิดปกติในขณะขับขี่รถยนต์ เช่น รถไถลไปข้างไปใดข้างหนึ่ง ลุยแอ่งน้ำแล้วแฉลบ ไม่เกาะถนน หรือรถส่ายพวงมาลัยสั่นขณะรถเคลื่อนตัวและอื่นๆ เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณควรเปลี่ยนยางรถยนต์ใหม่
วิธีการอ่านตัวเลขที่ขอบยาง
ตัวอย่าง 235/40 R 18
– 235 หมายถึง ความกว้างหรือขนาดของหน้ายาง หน่วยเป็นมิลลิเมตร
– 40 หมายถึง ซีรีย์ยางและความสูงแก้มยาง หน่วยเป็นเปอร์เซ็นต์เทียบกับความกว้างของหน้ายาง
– R หมายถึง ประเภทของยาง เช่น ประเภทเรเดียลหรือยางที่ไม่ใช้ยางใน
– 18 หมายถึง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของล้อยาง หน่วยเป็นนิ้ว เช่น ยางขอบ 18 นิ้ว
การดูแลยางรถยนต์
1. ขับขี่อย่างนุ่มนวล
การขับขี่รถยนต์เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการสึกหรอของยางรถยนต์ เมื่อมีการใช้งานหนักเช่น วิ่งในถนนขรุขระโดยใช้ความเร็ว เบรกรถแบบกระทันหัน หรือการเข้าโค้ง ล้วนแต่มีผลไม่ให้ยางของคุณสึกหรอเร็วกว่ากำหนด
2. สภาพพื้นผิวถนน
หากขับรถบนสภาพพื้นผิวถนนที่ไม่เรียบ หรือจอดรถใกล้กับฟุตบาทจนเกินไปอาจทำให้เนื้อยากไปเสียดสีกับผิวปูนได้ ควรเพิ่มความระมัดระวังในการขับขี่ และหลีกเลี่ยงการขับขี่บนพื้นผิวถนนที่ไม่อำนวยในการเดินทาง เพื่อยืดอายุการใช้งานของยางและยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทางขึ้นอีกด้วย
3. หมั่นเช็คลมยางอย่างสม่ำเสมอ
กรณีขับขี่ในขณะที่ลมยางรถยนต์อ่อน จะทำให้ความร้อนด้านในยางสูงขึ้น อาจเกิดเหตุยางระเบิดหรือยางแตกได้ หรือกรณีขับขี่ในขณะที่ลมยางรถยนต์แข็งเกินไป ก็อาจเกิดเหตุยางระเบิด ทำให้ดอกยางสึกไว การยึดเกาะถนนและความนุ่มนวลลดลง รวมถึงการควบคุมรถได้ยากขึ้นอีกด้วย จึงจำเป็นต้องหมั่นเช็คลมยางให้สมดุลอย่างสม่ำเสมอ
4. การตั้งศูนย์ถ่วงล้อ
หากตั้งศูนย์ถ่วงล้อไม่สมดุล จะทำให้ดอกยางเสื่อมสภาพไม่เท่ากัน แนะนำว่าควรจะสลับยางทุกๆ 10,000 กิโลเมตร ระหว่างล้อคู่หน้ากับล้อคู่หลัง เพื่อแก้ปัญหาความสึกหรอที่ไม่เท่ากันของยางทั้ง 4 เส้นได้
5. การเช็คยาง
เป็นธรรมดาของยางทุกชนิดที่จะมีการเสื่อมสภาพไปตามเวลาและการใช้งาน ดังนั้นการตรวจเช็คยางอย่างต่อเนื่องเป็นประจำจะช่วยให้รู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับยางต่างๆได้ทันท่วงที ป้องกันการเกิดอุบัติเหตุได้ ซึ่งเมื่อตรวจพบปัญหาควรนำรถยนต์ของท่านไปอู่ซ่อมหรือทำการเปลี่ยนยางโดยเร็ว
ทำอย่างไรเมื่อรถยางแบน
- ก่อนอื่นต้องตั้งสติอย่าตื่นตระหนก จากนั้นชะลอความเร็วรถให้ลดลงอย่างต่อเนื่องและไม่ควรเหยียบเบรกกะทันหัน
- คอยๆประคองพวงมาลัยให้อยู่ในเส้นทางไม่อันตราย และแตะเบรกช้าๆเป็นระยะๆ
- เปิดไฟฉุกเฉิน พร้อมขับประคองรถเพื่อเข้าไหล่ทาง
- เลือกหาที่จอดที่เป็นพื้นที่ปลอดภัย สังเกตได้ ไม่เป็นจุดอับสายตา
- เปลี่ยนยางรถเองหรือเรียกช่างมาเปลี่ยนยางรถให้
เห็นหรือไม่ว่าปัญหาเกี่ยวกับยางรถยนต์นั้นมีมากมายหลายปัญหา และยังเป็นสิ่งสำคัญที่ล้วนแต่ส่งผลโดยตรงเกี่ยวกับความปลอดภัยในการขับขี่รถยนต์ในชีวิตประจำวันของทุกคนอีกด้วย ดังนั้น เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนโดยรวม แนะนำให้ทุกคน อย่าลืมการดูแลรักษาและสังเกตการผิดปกติของยางรถยนต์อย่างสม่ำเสมอกันด้วยนะครับ
ติดต่อสอบถามลายละเอียดเกี่ยวกับ >>> รับจำนำรถ <<< คลิก
ติดต่อจำนำผ่านไลน์ <<< คลิก
ดูขั้นตอนการเตรียมเอกสารการจำนำรถ <<< คลิก
